นิโคไล อิวาโนวิช วาวิลอฟ (Nikolai Ivanovich Vavilov) นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 1887 และเสียชีวิตในวันที่ 26 มกราคม 1943 ในขณะที่มีอายุเพียง 55 ปี
วาวิลอฟเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางในมอสโก เข้าเรียนที่ Petrovskaya Agricultural Academy (ปัจจุบันคือ Russian State Agrarian University) และเดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษในปี 1913-1914 และได้ทำงานร่วมกับ William Bateson ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่ก่อตั้งศาสตร์ด้านพันธุศาสตร์ของโลกต่อจากเมนเดล
จากปี 1917 ถึง 1920 เขาเป็นศาสตราจารย์ที่คณะพืชไร่นามหาวิทยาลัย Saratov และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสถาบัน Lenin All-Union Academy of Agricultural Sciences ซึ่งตั้งอยู่ที่เลนินกราด ระหว่างปี 1924-1935 โดยวาระหลักของสถาบันคือการรวบรวมเชื้อพันธุกรรมจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อพัฒนาพันธุ์พืชและสร้างความมั่นคงทางอาหาร
โดยในฐานะนักพันธุศาสตร์เขาทราบดีว่า ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชอาหารโดยเฉพาะที่มาจากแหล่งต้นกำเนิด มีความสำคัญต่อการปรับปรุงพันธุ์พืช เช่นความต้านทานต่อโรคแมลง เป็นต้น รัฐบาลโซเวียตที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นได้ให้การสนับสนุนภารกิจดังกล่าวอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษแรก วาวิลอฟเดินทางกว่า 180 ครั้ง ไปยังประเทศต่างๆ 64 ประเทศทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 1920-1940 เพื่อรวบรวมสายพันธุ์พืชปลูกและพืชป่าที่มีพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับพืชปลูก จัดเก็บไว้ในธนาคารพันธุ์พืชที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เลนินกราด รวมตัวอย่างพันธุ์พืชกว่า 250,000 รายการ
การเดินทางเพื่อศึกษารวบรวมทั่วโลกทำให้วาวิลอฟทราบว่าศูนย์กลางแหล่งกำเนิดหรือศูนย์กลางความหลากหลายของพืชปลูกของโลกนั้น ประกอบไปด้วย 1. จีน; 2. อินเดีย; 2a ภูมิภาคอินโด-มาลายัน 3. เอเชียกลาง 4. ตะวันออกใกล้ 5. ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 6. เอธิโอเปีย; 7. เม็กซิโกตอนใต้และอเมริกากลาง และ 8. อเมริกาใต้ โดยได้นำเสนอเรื่อง center of origin ในการประชุมพันธุศาสตร์นานาชาติครั้งที่ 5 ในกรุงเบอร์ลิน ตั้งแต่ปี 1927

ในระหว่างนั้น Trofim Lysenko นักวิทยาศาสตร์หนุ่มผู้หนึ่งของสหภาพโซเวียตได้สร้างชื่อเสียงของตน จากการเผยแพร่ทฤษฎีว่า พืชมีพลังในตนเองที่สามารถสอนให้ออกดอกในฤดูหนาว และเราสามารถใช้หลักการนั้นในการผลิตพืชผลได้ในทุกรูปแบบ โดยไม่ต้องคำนึงถึงพันธุศาสตร์ของเมนเดล (Mendelian) และด้วยภูมิหลังที่เป็นปัญญาชนที่มาจากชนชั้นกรรมาชีพ ทำให้ผู้นำโซเวียตที่ต้องการสร้างประเทศของตนให้เป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์หันมาสนับสนุนเขา
ในปี 1938 สตาลินได้แต่งตั้ง Lysenko ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของ Lenin Academy ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของนักวิทยาศาสตร์การเกษตรในสหภาพโซเวียต วาวิลอฟรู้ดีว่าความเชื่อและวิธีการของ Lysenko เพื่อเพิ่มผลิตพืชนั้นไม่ได้ผล เขาคัดค้านคำกล่าวอ้างของ Lysenko อย่างแข็งขัน ในขณะที่ Lysenko กล่าวหาวาวิลอฟว่า มีพฤติกรรมฝักใฝ่ต่างชาติ และเป็นผู้ทำให้เกษตรกรรมของโซเวียตอ่อนแอ

สตาลินผู้นำคนใหม่ของโซเวียตเห็นดีเห็นงามกับ Lysenko วาวิลอฟถูกจับกุมด้วยข้อหาว่าใช้เงินช่วยเหลือของรัฐบาลในทางที่ผิดและทรยศต่อชาติ ได้รับการตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตในเดือนกรกฎาคม 1941 และแม้ว่าโทษของเขาจะเปลี่ยนเป็นจำคุก 20 ปี แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้รับอิสรภาพ เพราะเสียชีวิตในคุกเมื่อวันที่ 26 มกราคม 1943 เสียก่อน เอกสารทางการแพทย์ของเรือนจำระบุว่า วาวิลอฟเสียชีวิตเพราะปัญหาเกี่ยวกับปอดและอ่อนแรง แต่มีผู้บันทึกไว้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการตายคือความอดอยากจากการขาดอาหารในคุก Saratov
ในช่วงที่วาวิลอฟถูกคุมขังเป็นช่วงสงครามที่กองทัพนาซีบุกโจมตีรัสเซีย ชาวรัสเซียเผชิญหน้ากับความอดอยากจากการขาดแคลนอาหาร เลนินกราดถูกปิดล้อมนานถึง 28 เดือน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของวาลิลอฟอาสาเข้าไปเฝ้าธนาคารพันธุ์พืช ย้ายเมล็ดพันธุ์และเชื้อพันธุ์พืชซึ่งมีความสำคัญที่ไม่อาจประเมินค่าได้นั้นไปไว้ในห้องใต้ดิน โดย 5 คนต้องจบชีวิตลงเพราะขาดอาหาร พวกเขาเลือกที่จะรักษาเชื้อพันธุ์พืชเอาไว้สำหรับคนรุ่นหลังและปฏิเสธที่จะกินเมล็ดพันธุ์จำนวนมหาศาลที่เรียงรายอยู่รอบข้างเพื่อประทังชีวิต
หลังจากสตาลินพ้นจากอำนาจ นิกิตา ครุชอฟ ได้ฟื้นฟูชื่อเสียงของวาวิลอฟขึ้นมาใหม่ วาวิลอฟได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษนักวิทยาศาสตร์ของโซเวียต มีการเปลี่ยนชื่อถนนใจกลางเมือง Saratov และใช้ชื่อสถาบันวิจัยพฤกษศาสตร์ เป็นชื่อของวาวิลอฟ สร้างอนุสาวรีย์ และใช้ชื่อของเขาเป็นชื่อรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติแก่นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานดีเด่น
ปัจจุบันชื่อ ” Vavilov” เป็นชื่อที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติใช้เป็นชื่อของแผนที่แสดงศูนย์กลางความหลากหลายของพืชปลูก เพื่อรำลึกถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้โลกได้รู้จักที่มาของพืชอาหาร ในขณะที่ตนเองและเพื่อนร่วมงานต้องจบชีวิตอย่างกล้าหาญเพราะขาดอาหาร