เคยูโฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ – 8 ตุลาคม 2552
ศ.ระพี สาคริก ราษฎรอาวุโส ในฐานะประธานมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) แถลงคัดค้านการเปิดเสรีการลงทุนซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อถอนข้อสงวนการลงทุนในภาคเกษตรที่สำคัญ 3 สาขาคือ (1) การทำกิจการเพาะขยายหรือปรับปรุงพันธุ์พืช (2) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ (3) การทำป่าไม้จากป่าปลูก โดยอนุญาตให้ต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนและถือหุ้นใหญ่ในกิจการทั้ง 3 ประเภทได้ ทั้งนี้โดยมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
ในหนังสือที่ทำถึงนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และกรรมาธิการชุดต่างๆนั้นระบุว่า การเปิดเสรีใน 3 สาขาซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับการสงวนให้เป็นกิจการของคนไทยภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จะกระทบกับเกษตรกร ประมงพื้นบ้าน ชุมชนท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อยของคนไทยอย่างกว้างขวาง อีกทั้งเป็นการเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติทั้งในระดับอาเซียนและบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่นอกอาเซียนที่ลงทุนในอาเซียนอยู่แล้วเข้ามาครอบครองที่ดิน ครอบครองพันธุ์พืชและทรัพยากรธรรมชาติ เข้ามาใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน และแย่งชิงอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ อีกทั้งยังขัดแย้งกับนโยบายการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และนโยบายสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ของรัฐบาลเอง
“รัฐบาลและรัฐสภาควรทบทวนเรื่องนี้ อย่าหวังผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือเงินตรา หรือเอาใจกลุ่มทุน จนสร้างผลกระทบต่อคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน เรื่องนี้มีผลกระทบมากไปกว่ากรณีการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในกรณีกล้วยไม้ หรือการทำความตกลงเอฟทีเอของรัฐบาลที่ผ่านมาเสียอีก เพราะเป็นการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาแย่งชิงอาชีพและทรัพยากรของประเทศ กระทบต่ออธิปไตยและความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างมาก” ศ.ระพี กล่าว
นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ จากมูลนิธิอันดามัน กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดเสรีครั้งนี้มิได้คำนึงเลยว่า การเปิดเสรีให้ต่างชาตินั้นจะสร้างผลกระทบต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง และป่าชายเลน ตลอดจนมีผลกระทบต่อชุมชนประมงขนาดเล็กทั้งประเทศ “ที่ผ่านมาปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่แล้ว มีการกว้านซื้อที่ดินในเขตป่าชายเลน และน้ำกร่อย เกิดปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มทุนกับชุมชนอยู่เนืองๆ แต่รัฐบาลกลับมาซ้ำเติมโดยเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนจากต่างชาติทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียนเข้ามาแย่งชิงทรัพยากร และแย่งชิงอาชีพจากชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งจะทำให้ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีก” นายภาคภูมิกล่าว
นางสาวพรพนา ก๊วยเจริญ นักวิจัยมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติซึ่งติดตามการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ในอินโดจีนเปิดเผยว่า “การเปิดเสรีการลงทุนการเกษตรของไทยครั้งนี้ อาจเป็นการผลักดันที่มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของไทยอยู่เบื้องหลัง เพราะการเปิดเสรีการลงทุนในการเกษตรในประเทศไทยให้กับนักลงทุนต่างชาติ จะเป็นข้ออ้างให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ของไทยและประเทศอาเซียนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่าเข้าไปลงทุนในประเทศที่อ่อนด้อยกว่าอย่างลาวและกัมพูชาได้ง่ายขึ้น กลุ่มที่บีโอไอเปิดให้แสดงความคิดเห็นล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ไม่ใช่ชาวบ้านที่จะได้รับผลกระทบ”
“กลุ่มทุนขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทย อีกทั้งจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิและขยายวงกว้างของปัญหาการแย่งชิงที่ดินจากประชาชนท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ยากจนและเป็นชนพื้นเมือง ในประเทศเพื่อนบ้านไปพร้อมกัน”
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ตัวแทนจากกลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ แถลงว่า การเปิดเสรีครั้งนี้ถูกวางแผนอย่างแยบยล ประชาชนทั้งประเทศแทบไม่ได้รับรู้เลย ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ปรึกษาหารือกับเกษตรกรรายย่อย ประมงพื้นบ้าน ชุมชนท้องถิ่น และผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง แต่ไปอ้างต่อคณะกรรมการ นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ(กนศ.) ว่า ได้จัดให้มีการสัมมนาให้ความรู้ รวมถึงจัดประชาพิจารณ์แล้ว ทำให้มติของกนศ. เห็นชอบที่จะให้มีการเปิดเสรีใน 3 สาขาดังกล่าว “การเปิดเสรีครั้งนี้ของรัฐบาลขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 190 อย่างแจ้งชัด ที่ระบุว่าการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา”
“นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะที่กำกับดูแลคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมของกนศ. รวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเข้าร่วมประชุมกนศ.เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 และเห็นชอบให้มีการเปิดเสรีจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น”
“หลังจากได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้ว มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน เครือข่ายองค์กรด้านการเกษตรและทรัพยากร และกลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ จะรอฟังคำตอบและคำชี้แจงจากนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ว่าได้ดำเนินการอย่างไรหรือไม่ เพื่อยับยั้งกรณีดังกล่าว หากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เครือข่ายองค์กรที่ได้แถลงข่าวจะประสาน งานกับเครือข่ายเกษตรกรและทรัพยากรทั่วประเทศเพื่อเตรียมการเคลื่อนไหว ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนที่หัวหิน-ชะอำ ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม นี้” นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ กล่าว
อนึ่งองค์กรที่ร่วมลงนามในหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และกรรมาธิการชุดต่างๆนั้น ประกอบไปด้วย
- มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)
- มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย)
- มูลนิธิชีวิตไท (ราฟ่า)
- เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
- กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อทช์)
- มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ
- มูลนิธิอันดามัน
- มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
- สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง
- มูลนิธิข้าวขวัญ
- สมาพันธ์เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวโพดจังหวัดน่านและเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดน่าน
- กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์จังหวัดกาญจนบุรี
- เครือข่ายปฏิรูปสื่อภาคประชาชนจังหวัดกาญจนบุรี
- เครือข่ายป่าต้นน้ำภาคตะวันตก
- เครือข่ายอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตกและเทือกเขาตะนาวศรีจังหวัดกาญจนบุรี
- เครือข่ายอนุรักษ์ป่าเทือกเขาตะนาวศรีจังหวัดราชบุรี
- กลุ่มทรัพยากรสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบฯ
- กลุ่มอนุรักษ์บ่อนอก
- กลุ่มพิทักษ์สิทธิผลประโยชน์ประชาชนตามรัฐธรรมนูญ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
- เครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก
- เครือข่ายเกษตรกรจังหวัดสมุทรสงคราม
- กลุ่มฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรี
- กลุ่มเยาวชนอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรชายฝั่ง ตำบลบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
- เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี
- ชมรมเรารักแม่น้ำท่าจีนจังหวัดนครปฐม
- เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำแม่กลองจังหวัดราชบุรี
- ประชาคมจังหวัดราชบุรี
- ชมรมลุ่มน้ำท่าจีนจังหวัดนครปฐม
- มูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีนจังหวัดนครปฐม
- สภาลุ่มน้ำท่าจีนจังหวัดนครปฐม
- กลุ่มเกษตรห้วยตะเคียนพัฒนา ตำบลหนองโสน จังหวัดกาญจนบุรี
- กลุ่มเครือข่ายเกษตรบ้านวังหิน อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
- กลุ่มส่งเสริมจริยธรรมจังหวัดกาญจนบุรี
- กลุ่มเครือข่ายประชาสังคมจังหวัดประจวบฯ
- กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านพุเตย อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
- ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงป่าละอูจังหวัดประจวบฯ
- ศูนย์ประสานงานเพื่อการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดเพชรบุรี
- ชมรมนักพัฒนาภาคตะวันตก
- ศูนย์การเรียนรู้พี่น้องสองตำบลจังหวัดนครปฐม
- ศูนย์ประสานงานเครือข่ายเกษตรชนบทพึ่งตนเอง ตำบลดอนแร่ จังหวัดราชบุรี
- กลุ่มปลูกผักปลอดสาร ตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี
- กลุ่มพัฒนาชีวิตและวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี
- เครือข่ายศูนย์การเรียนรู้เกษตรธรรมชาติเพื่อนหลักห้า เพื่อการพึ่งพาตนเอง จังหวัดสมุทรสาคร
- เครือข่ายป่าต้นน้ำจังหวัดกาญจนบุรี
- ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติท่ามะขามจังหวัดกาญจนบุรี
- กลุ่มอนุรักษ์ชุมชนเมืองจังหวัดกาญจนบุรี
- เครือข่ายเกษตรอินทรีย์บูรพา
- เครือข่ายเกษตรอินทรีย์จันทบุรี
- เครือข่ายจากภูผาสู่มหานที
- เครือข่ายธนาคารต้นไม้
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง