หุบเขา Drôme อยู่ในชนบทของฝรั่งเศส มีพื้นที่ประมาณ 2,200 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1.4 ล้านไร่) ประชากร 54,000 คน ในแคว้น Rhone บริเวณเทือกเขาแอลป์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในต้นแบบที่ชี้ให้เห็นว่า #การเปลี่ยนภูมิทัศน์เกษตร ไปสู่ #ชุมชนเกษตรนิเวศ#ชุมชนเกษตรอินทรีย์#พื้นที่นิเวศเกษตร สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงๆ
พื้นที่ต้นน้ำมีภูเขาสูงล้อมรอบที่ส่วนใหญ่ทำการเกษตรแบบเคมี ถูกเกษตรกร ผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ และผู้บริหารท้องถิ่น เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์จากเดิม กลายมาเป็นหุบเขาเกษตรอินทรีย์ โดยปัจจุบันมีพื้นที่การผลิตแบบอินทรีย์เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด และกำลังจะขยายสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น
เกษตรอินทรีย์ที่นี่เริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษ 1970 โดยมีการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อผลิตและจัดส่งธัญพืช พืชสมุนไพร และไวน์ในบริเวณพื้นที่สูงตอนบนของหุบเขา โดยแรงจูงใจคือการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้แก่ผลผลิตในพื้นที่เป็นหลัก แต่ยังคงมีอุปสรรคสำคัญที่จะจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ตอนล่างซึ่งทำการเกษตรแบบเข้มข้นและมีผู้อยู่อาศัยมากกว่า
การเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มข้นเกิดขึ้น เมื่อองค์การบริหารของท้องถิ่นจัดตั้งโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ท้าทายขึ้นในปี 2009 โดยตั้งเป้าหมายเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรม 50% เป็นเกษตรกรรมอินทรีย์ในปี 2020 และจัดส่งผลผลิตและอาหารอินทรีย์ไปยังผู้บริโภคเชิงสถาบัน เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก และหน่วยงานต่างๆให้มีสัดส่วน 80% ของความต้องการ โดย สภาเกษตรขององค์การบริหารท้องถิ่น ได้สนับสนุนโรงงานในการแปรรูป และรวบรวมผลผลิตเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ พร้อมๆกระตุ้นให้มีการเติบโตของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้เติบโตกว่าที่เป็นอยู่
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เกิดขึ้นจากกระบวนการสร้างและเผยแพร่ความรู้เกษตรอินทรีย์ โดย 3 วิธี คือ
หนึ่ง เอกชนที่เป็นผู้ส่งเสริมการผลิตหรือขายปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์เป็นผู้ให้คำแนะนำต่อเกษตรกรโดยตรง
สอง โดยกลุ่มคนที่ต้องการกลับไปฟื้นฟูเกษตรกรรมตามวิถีธรรมชาติ ที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดขึ้น
และ สาม การสนับสนุนของสภาเกษตรขององค์การบริหารพื้นที่ จัดตั้งศูนย์กลางแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์กับเกษตรกรทั่วไป
นับตั้งแตทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา เกษตรกรและผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์ได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามาในสภาบริหาร Drôme Valley มากขึ้นๆ เช่นเดียวกับการเพิ่มขึ้นของไซโลที่รวบรวมธัญพืชอินทรีย์ และปริมาณไวน์อินทรีย์ ที่เข้ามาแทนที่ผลิตผลและผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเคมีแบบดั้งเดิม
ภาพลักษณ์ของเกษตรอินทรีย์จากที่ดูเหมือนเป็นวิถีการผลิตที่เคยถูกมองว่าล้าหลัง ไม่มีประสิทธิภาพ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเกษตรกรและกลุ่มคนที่ทำเกษตรอินทรีย์ที่ Drôme Valley ดูเป็นกลุ่มที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีวิธีปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีที่สุด และที่นี่เรามักจะได้ยินเกษตรกรทั่วไปที่ทำเกษตรเคมีมักพูดว่า พวกเขายังไม่ดีพอที่จะเข้าร่วมในการผลิตแบบอินทรีย์
การประสานกันระหว่างการเมืองท้องถิ่น ภาคเอกชนในพื้นที่ และกลุ่มคนที่ต้องการฟื้นวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ได้สร้างหุบเขาเกษตรอินทรีย์ขึ้นที่ฝรั่งเศส และกลายเป็นต้นแบบสำหรับทั้งประเทศฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปที่ตั้งเป้าหมายการเพิ่่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 25% ในปี 2030
ที่มา :
- Sibylle Bui entitled “Pour une approche territoriale des transitions écologiques: Analyse de la transition vers l’agroécologie dans la Bio-vallée” (Bui, 2015).
- IPES-Food, 2020. Breaking away from industrial food and farming systems: Seven case studies of agroecological transition.